การศึกษา และสรรพวิทยาในโลก กำลังนำพาเราไปไหน ?
ครู กำลังสอนให้เราเป็นคนเช่นไร ?
การศึกษา ที่แท้ คืออะไร ?
เรายอมรับการศึกษาแบบไม่ต้องคิดมาก
การศึกษากลายเป็นแค่แม่พิมพ์ที่ปั๊มฟันเฟืองตัวหนึ่งให้เข้าไปขับเคลื่อนสังคมที่ปราศจากชีวิต และเราก็พอใจกับการศึกษา และวิถีของสังคมแบบนั้น สิ่งที่เราได้รับจากการศึกษาจึงเป็นเพียงการลอกเลียนแบบ จากต้นแบบซึ่งได้แก่ ครูและผู้เชี่ยวชาญในยุคก่อนหน้า โดยปราศจากการตั้งคำถามและตรวจสอบ ทั้งต่อเนื้อหาของสรรพวิชา และแนวคิดพื้นฐานของการศึกษา การคล้อยตามสังคม หรือสิ่งที่ครูและพ่อแม่สั่งสอน เป็นเรื่องที่ง่ายปลอดภัย และเข้ากันได้ดีกับสังคม แต่มันอาจนำพาเราไปผิดทิศผิดทาง และสร้างหายนะทั้งต่อตัวเราเอง และโลกของเรา
การศึกษา
น่าจะได้ทำหน้าที่ในการหาคำตอบเกี่ยวกับชีวิต และสังคม โดยการพัฒนาปัจเจกชนให้รู้จักตนเอง และบทบาทแห่งตนที่มีต่อสังคมที่แท้ แต่การศึกษาก็กลับละเลยหน้าที่ของตน มิหนำซ้ำยังกลายเป็นเครื่องมือในการลากจูงผู้คนให้ละเลยการค้นหาคำตอบเหล่านั้นด้วยการหลอกลวงให้คนเข้าใจว่านั่นเป็นหน้าที่ของพระ และนักศึกษาวิชาปรัชญาเท่านั้น (ที่มา : กฤษณมูรติ, ๒๕๔๓, แห่งความเข้าใจชีวิตและการศึกษาที่แท้, มูลนิธิโกมลคีมทอง)
นั่นคือกับดัก ที่การศึกษาสมัยใหม่ได้วางไว้
การศึกษาแบ่งแยกตัวเองออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้เราติดตันอยู่ที่แต่ละส่วนนั้นโดยไม่มีวันเห็นความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละชิ้นส่วน แล้วสร้างผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาขึ้นในโลกเป็นจำนวนมหาศาล และเขาเหล่านั้นหวังว่า เขาจะสามารถแก้ปัญหาของโลกใบนี้ได้ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญของเขา ทั้งที่เขาเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า ปัญหาของเขาคืออะไร ‘เซอร์ อัลเบิร์ต โฮวาร์ด ตำหนิความรู้เป็นส่วนๆ ของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย โดยชี้ให้เห็นว่าเราต้องศึกษาสิ่งที่เราเกี่ยวข้องในลักษณะองค์รวม คือรวมทั้งส่วนที่เรารู้ และส่วนที่เราไม่รู้ เขาหวาดเกรงว่าวิทยาศาสตร์ประยุกต์สมัยใหม่ สมัครใจที่จะลดส่วนของชีวิต มาสู่สิ่งที่สามารถรู้ได้’ (อ่านต่อ... อารัมภบท โดยเวนเดล แบร์รี, ในหนังสือปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ของ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ)
การศึกษาสอนให้เราเป็นใหญ่เหนือธรรมชาติ
เราอาจลืมไปว่ามนุษย์เคยหวาดกลัว และกราบไหว้ธรรมชาติมาก่อน แต่เมื่อมนุษยชาติมีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติเพียงเล็กน้อย ก็ลำพองว่าตนเข้าใจถ่องแท้และจะสามารถควบคุมธรรมชาติได้ ‘ในหนังสือชื่อว่า A Green History of the World มีบทหนึ่งซึ่งสืบประวัติความคิดของตะวันตก ตั้งแต่โสเกรติส เพลโต อริสโตเติล ผ่านนักปรัชญาศาสนา ตลอดจนนักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา และนักปรัชญาเชิงวิทยาศาสตร์ ท่านเหล่านี้ล้วนแต่พูดถึงความคิดหมาย มุ่งมั่นที่จะเอาชนะธรรมชาติ ด้วยเข้าใจว่าความสำเร็จของมนุษย์อยู่ที่การเอาชนะธรรมชาติ และการจัดการธรรมชาติตามชอบใจ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นจุดติดตันที่ทำให้รู้ตัวว่านี่คือภัยพิบัติของมนุษย์’
(อ่านต่อ... พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต), ๒๕๓๙,
พุทธธรรมกับปรัชญาการศึกษาไทยในยุคโลกาภิวัฒน์,
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)
‘ในความพยายามที่จะเข้าใจธรรมชาติ เรามี ๒ หนทาง หนึ่งคือการมองลึกลงไปในตัวเอง ผู้ที่ต้องการจะเข้าใจธรรมชาติ หนทางนี้จะนำไปสู่อาณาจักรแห่งปรัชญาและศาสนา ส่วนหนทางที่สองคือการวิจัยสืบค้นธรรมชาติ โดยแยกขาดจากมนุษย์ โดยทางนี้ธรรมชาติจะถูกแบ่งเป็นปรากฏการณ์ที่หลากหลาย แยกขาดจากกันสำหรับการศึกษาวิจัย อันจะนำไปสู่คำถามอื่นๆ อย่างไม่จบสิ้น และนี่คือหนทางของวิทยาศาสตร์’
การศึกษาเพื่อเข้าใจธรรมชาติ โดยการมองลึกลงไปในตัวเอง คือการเฝ้าสังเกต และพิจารณาให้เห็นสภาพความเป็นจริงที่แท้ของธรรมชาติ มิใช่การครุ่นคิดคำนึงด้วยหลักเหตุผล เพื่อตอบปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง เพราะนั่นเป็นเพียงความคิดของมนุษย์ มิใช่ตัว ธรรมชาติที่แท้ หากเป็นเช่นนั้น ‘ธรรมชาติที่ถูกรับรู้ด้วยวิธีทางปรัชญาก็เป็นเสมือนภูตผีที่มีเพียงวิญญาณแต่ปราศจากโครงร่าง ในขณะที่วิทยาศาสตร์ก็เป็นเพียงการรับรู้ธรรมชาติที่มีแต่โครงกระดูกแต่ไร้วิญญาณ’
วิทยาศาสตร์ล่อลวงให้เราหลงทาง หลายครั้งที่มนุษย์เพียรพยายามศึกษาธรรมชาติโดยไร้เหตุผล และไม่มีจุดหมาย ‘ในประเทศญี่ปุ่น มีการวิจัยมากมายเกี่ยวกับการพัฒนาวิธีเพาะปลูกพืชผักบางชนิดในตู้กระจกในฤดูหนาว แต่มีคำถามง่ายๆ ที่เราควรตอบเสียก่อนว่า มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์หรือไม่ที่จะต้องกินมะเขือยาว และแตงกวาในฤดูหนาว ? หลายสิ่งเป็นสิ่งไม่จำเป็น แต่เมื่อมนุษย์เกิดความต้องการโดยไร้เหตุผล เมื่อมนุษย์เข้าไปแทรกแซงธรรมชาติ เมื่อนั้นวิทยาศาสตร์ก็จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น การเข้าไปแทรกแซงของมนุษย์ทำให้เกิดความผิดพลาด และถ้าความเสียหายนั้นถูกปล่อยไว้ก็จะสะสมมากเข้า คนเราจึงต้องทุ่มเทความพยายามทั้งมวลเพื่อเข้าไปแก้ไขมัน หากการแก้ไขลุล่วงไปได้ด้วยดี พวกเขาก็จะคิดว่าวิธีการเหล่านั้นเป็นความสำเร็จอันงดงาม คนเรามักทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็เหมือนกับคนโง่ที่ปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้าน แล้วทำกระเบื้องบนหลังคาแตก เมื่อฝนตกน้ำก็รั่วเข้ามา เขาก็จะรีบปีนขึ้นไปซ่อมหลังคา จากนั้นก็ดีอกดีใจที่เขาได้พบวิธีแก้ปัญหาที่วิเศษ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่คร่ำเคร่งอ่านตำราจนสายตาสั้น หากคุณสงสัยว่าอะไรทำให้เขาต้องคร่ำเคร่งเช่นนั้น คำตอบคือ เขาเป็นนักประดิษฐ์แว่นตาสำหรับคนสายตาสั้น’
การศึกษาในปัจจุบันจึงมิได้ทำหน้าที่ค้นหาคำตอบใด ๆ หากแต่เป็นเพียงการตามแก้ปัญหาที่มนุษย์ก่อไว้อย่างไม่มีวันสิ้นสุดเท่านั้นเอง ดังนั้น ‘ก่อนที่นักวิจัยจะเป็นนักวิจัย เขาควรจะเป็นนักปรัชญาเสียก่อน เขาควรจะได้พิจารณาว่า อะไรคือเป้าหมายที่มนุษยชาติควรสร้างขึ้น’
(อ่านต่อ... อารัมภบท โดยเวนเดล แบร์รี, ในหนังสือปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ของ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ)
วิทยาศาสตร์หวังว่าจะสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ของมนุษยชาติได้ แพทย์หวังว่าความรู้ใหม่ๆ จะช่วยชีวิตมนุษย์ให้ยืนยาวยิ่งขึ้น วิศวกรหวังว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้นและสุขสบายยิ่งขึ้น ส่วนนักวิชาการเกษตรก็หวังว่าการพัฒนาพันธุ์พืชจะทำให้เรามีอาหารเพียงพอที่จะเลี้ยงคนทั้งโลกได้ แต่ในความเป็นจริง แม้ว่าวิทยาการต่างๆ เหล่านี้สามารถพัฒนาถึงที่สุดแล้ว จะสามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ได้จริงละหรือ ? ท่านพุทธทาส ภิกขุ กล่าวไว้ว่า ‘การแก้ปัญหาเรื่องให้มีข้าวกิน ให้รู้หนังสือ ให้ไม่เจ็บไข้ นี้มันเป็นเรื่องน่าหัว
ไม่ถือว่าเป็นปัญหา หรือมันเป็นปลายเหตุ ปัญหาต้นเหตุมันไม่ได้แก้ คือการที่มนุษย์ไม่มีศีลธรรม ไม่เข้าใจธรรม (คือธรรมชาติ) ถึงแม้ว่าแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คือมนุษย์รู้หนังสือ มีอาหารกิน มนุษย์จะสบายดีอย่างนั้นหรือ นี่อย่าหาว่าด่า แต่จะบอกว่ามนุษย์ที่ไม่รู้หนังสือเคยมีความสุขแท้จริงมากกว่ามนุษย์ที่มีความรู้มากๆ มนุษย์ที่มีอาหารกินจะมีประโยชน์อะไร ถ้ามีชีวิตอยู่เพื่อทนทุกข์ มันตายเสียดีกว่าใช่ไหม’
(ที่มา : พุทธทาสภิกขุ, ๒๕๒๙, ธัมมิกสังคมนิยม)
แต่นั่นมิได้หมายความว่าพุทธศาสนาปฏิเสธหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อวิทยาศาสตร์ เพียงแต่รับรู้ถึง ความไม่สมบูรณ์บางส่วนของวิทยาศาสตร์ ‘เราอาจใช้ประโยขน์จากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ชีวิตของเรายืนยาวขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการใช้ชีวิตนั้นอย่างฉลาดเพื่อคุณค่าทางจิตวิญญาณ’
(ที่มา : ฌอง-ฟรองซัว เรอเวล และมัตติเยอ ริการ, ๒๕๔๒, ภิกษุกับนักปรัชญา, สำนักพิมพ์ออร์คิด)