การบริหารการเงินส่วนบุคคล 
ความหมาย คุณ-โทษ ของ เงิน ในฐานะ ปัจจัยหรือเป้าหมาย ของชีวิต
 


Background photo was designed by rawpixel.com / Freepik

การวางแผนการเงินมิได้มีความสำคัญเฉพาะการทำโครงการ หรือการดำเนินงานทั้งภาครัฐและเอกชนเท่านั้น แม้แต่ในการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล และการใช้ชีวิตครอบครัว ก็มีความจำเป็นต้องมีการวางแผนเช่นกัน โดยเริ่มต้นคล้ายกับการวางแผนโครงการ คือการกำหนดเป้าหมายของชีวิต จากนั้นจึงพิจารณาถึงกระบวนการ ขั้นตอนที่ต้องกระทำเพื่อนำชีวิตตนเอง หรือชีวิตครอบครัวไปสู่เป้าหมายนั้น โดยมีเงินเป็นปัจจัย (แม้ในบางครั้ง อาจเผลอเข้าใจว่าเงินคือเป้าหมาย) เพราะแท้ที่จริงแล้ว บุคคลมิได้มีความสุขจากเงินโดยตรง แต่ใช้เงินเป็นปัจจัยแลกเปลี่ยน ให้เป็นความสุขในรูปแบบต่างๆ ตามเป้าหมาย หรือการให้ความสำคัญของตน เช่น บางคนอยากมีทรัพย์สินสิ่งของ ก็ใช้เงินแลกเปลี่ยนเป็นข้าวของ ตามความต้องการ ความสำคัญในใจของตน แต่บางคนก็ให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพ ความสุขของบุคคลรอบตัว ก็อาจใช้เงินเพื่อซื้อหาสิ่งของ และบริการต่างๆ เพื่อดูแลคนที่ตนรัก 


แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความสุข และเป้าหมายชีวิตทุกอย่าง จะต้องแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราเท่านั้น บุคคลผู้ทำความเข้าใจชีวิตของตนอย่างถ่องแท้ อาจพบว่า มีความสุขอีกหลายรูปแบบ ที่ละเอียดประณีต ซึ่งสามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินทอง เช่น การให้เวลากับครอบครัว การพูดคุยเข้าอกเข้าใจ ดูแลเอาใจใส่กันในหมู่ญาติพี่น้อง หรือแม้แต่การทำงานที่ตนรักและเห็นคุณค่า


คนบางคนไม่เห็นโอกาสในการได้ความสุขอย่างอื่น นอกเหนือจากความสุขทื่แลกด้วยเงินทอง จึงทุ่มเทชีวิตทั้งหมดเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินตรา และหวังว่า มันจะสามารถนำความสุขมาให้ หรืออย่างน้อย ก็ช่วยคุ้มกันตนให้รอดพ้นจากความทุกข์ เช่นการถูกทอดทิ้ง การไม่ได้รับการยอมรับ หรือแม้แต่ความเจ็บป่วยชรา ความสูญเสีย และความตาย แต่สุดท้าย เงินก็ไม่สามารถตอบสนองความ ต้องการเหล่านั้นได้จริง มิหนำซ้ำ การวิ่งหา เงิน ก็กลายเป็นทั้งหมดของชีวิต ที่ถูกใช้หมดเปลืองไปอย่างน่าเสียดาย

ความคิดที่ผิดพลาดอาจอยู่ที่ความเข้าใจว่า เมื่อใดหาเงินได้เกินกว่าความต้องการของตนก็จะเป็นสุข จึงทุ่มเทกำลังเพื่อหาเงินให้ถึงเป้า แต่ลืมที่จะพิจารณาความต้องการของตนให้อยู่ในขอบเขตของความสมเหตุสมผล (ต้องการแบบฉันทะที่มุ่งคุณค่าแท้ มิใช่ความต้องการแบบตัณหา ที่ปรารถนาสิ่งเสพไม่สิ้นสุด) เพราะหากความต้องการของตนยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วใช้จ่ายสร้างหนี้สินไว้เป็นภาระในอนาคต โอกาสที่จะหารายได้ มาให้ได้เกินกว่า หรือแม้แค่ให้เพียงพอกับรายจ่ายที่ไม่หยุดยั้ง ก็อาจเป็นเรื่องยากของใครบางคนไปจนวันตาย แม้แต่ค่ารักษาพยาบาลของตนก็ยังกลายเป็นหนี้สิน เป็นภาระต่อไป อย่างกล้ำกลืน

หลายคนคิดว่าจะแก้ปัญหาด้วยการตั้งเป้าหมายว่าจะทุ่มเทเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตให้กับการทำงาน เพื่อหาเงินให้เพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิตที่เหลือของตนและครอบครัว หรือหาทางให้ “เงินทำงาน” ผ่านวิธีการลงทุนรูปแบบต่างๆ (Passive income) แล้วตนจะได้หยุดทำงานก่อนจะแก่ (การเกษียณเร็ว) เพื่อเอาเวลาชีวิตที่เหลือไปใช้เงิน เพื่อหาความสุขให้กับชีวิต แล้วเรียกสภาวะนี้ว่า การมีอิสรภาพทางการเงิน แต่ในความเป็นจริงก็อาจไม่ง่าย หากปราศจากความรู้ความแข้าใจและข้อมูลที่ถูกต้อง และไม่มีการวางแผนที่ดีตั้งแต่ต้น และแม้มีแผนที่ดี หากขาดวินัยทางการเงิน ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้

และแม้ว่าจะสามารถหาทางให้เงินทำงานได้โดยไม่ต้องทำงานประจำ (Passive income) หลายคนก็พบกับคำถามต่อไปอีกว่า จะใช้เงินที่มี ทำชีวิตที่เหลือให้มีความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร บางคนมีเวลาว่างทุกวันไม่ต้องทำงาน แต่ก็เบื่อหน่ายกับเวลาที่มีมากมายอย่างไร้เป้าหมาย, บางคนมีเงินมากมาย ได้ไปเที่ยวทุกที่ที่เคยฝันไว้แล้ว ก็ไม่รู้จะไปไหนต่อดี ฯลฯ แต่บางคนก็ใช้โอกาสที่มีอิสรภาพหรือความมั่นคงทางการเงิน ในการทำสิ่งที่รัก ทำงานที่ชอบได้อย่างจริงจัง (ไม่ว่าจะเป็นงานประจำ หรืองานส่วนตัวก็ตาม) ให้เกิดประโยชน์และความสุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นได้ และเป็นการทำงานที่ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รายได้มากน้อยเพียงใด จะพอใช้หนี้หรือเปล่า แต่ทำงานด้วยใจรัก และมุ่งเป้าไปที่ตัวงานได้อย่างเต็มที่ แทนที่จะทำงานเพียงเพื่อหวังผลตอบแทน


แม้เงินจะไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต แต่ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในการนำไปสู่เป้าหมาย หากบุคคลใดมีความรู้ มีการวางแผน และมีวินัยการเงินที่ดี ก็สามารถบริหารจัดการให้เกิดความมั่นคงและทำให้ชีวิตเป็นอิสระจากความกังวลว่าจะมีเงินพอไหม จะใช้หนี้ได้เมื่อใด แล้วใช้เงินที่มีเป็นปัจจัยในการพัฒนาชีวิต และสร้าง ความสุขอย่างเหมาะสมตามเป้าหมายที่ดีงามของตน


เป้าหมายชีวิต - เป้าหมายทางการเงิน - เป้าหมายด้านการเรียนรู้

...เราจะมาสร้างแผนที่สู่ความสำเร็จในแบบที่ตัวเราเองต้องการกันครับ

หลักคิดของการสร้างแผนที่หรือแผนการสู่ความสำเร็จของผม ก็คือการ ถ่ายเป้าหมายชีวิตมาเป็นเป้าหมายทางการเงิน และถ่ายจากเป้าหมายทางการเงิน มาเป็นเป้าหมายด้านการเรียนรู้

เพราะทุกชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องและสนับสนุนทั้งสิ้น และความสามารถในการทำเงินของคนเรา ก็เป็นผลของความรู้สามารถที่เรามี ดังนั้น ทั้งสามเป้าหมายจึงสอดคล้องและต่อเนื่องกัน ดังแสดง 

เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนผมวางแผนออกจากงานประจำ ผมตั้งคำถามเล็กๆกับตัวเองว่า อีก 5 ปี 10 ปี ต่อจากนี้ ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร เราต้องการอะไร อยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไร เพราะอะไร และเมื่อไหร่ (นั่งคิดนั่งทบทวนเป้าหมายชีวิตอย่างจริงจัง)

ไม่น่าเชื่อว่า พอตั้งสติคุยกับตัวเอง ทำความเข้าใจกับตัวเองเข้าจริง กลับพบว่า เป้าหมายชีวิตผม ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเหมือนที่เคยกะเกณฑ์หรือฝันเพ้อเจ้อไว้ในอดีตเลย

เป้าหมายชีวิต : การมี “เวลา” ได้ทำสิ่งที่รักอย่างอิสระ และได้อยู่กับครอบครัวทุกวัน

 ผมรักการอ่านหนังสือ ผมชอบการศึกษาหาความรู้ ผมอยากเผยแพร่สิ่งที่ผมรู้ให้กับคนอื่น โดยเฉพาะเด็กๆ ผมอยากมีเวลาสำหรับกิจกรรมในครอบครัว ผมอยากมีเวลาพาพ่อแม่ไปเท่ียว ไปกันหลายๆวัน ไปในที่ที่ท่านไม่เคยไป และวันหนึ่งถ้าผมมีลูก ผมอยากที่จะเป็นครูสอนลูกเอง เพราะผมเช่ือว่าไม่มีใครสอนลูกผมได้ดีกว่าผม

 เมื่อได้สิ่งที่ต้องการในชีวิตแล้วชัดเจนขึ้นแล้ว ผมก็หันกลับมามองความเป็นจริงว่า หากต้องการมี “เวลา” ใช้ชีวิตได้อย่างที่ตัวเองต้องการ ผมจะต้องมีเงินเท่าไหร่ คำถามนี้ไม่ยากเลยครับ เพราะถ้าตอบอะไรไม่เกินเลยความเป็นจริงไป จากไลฟ์สไตล์ที่อยากได้ ผมคาดว่าคงใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน เรียกว่าถ้าเดือนๆหนึ่งมีเงินไหลเข้ากระเป๋าผม 30,000 บาททุกเดือน ผมมีชีวิตอยู่ได้สบายมากครับ (ตอนนั้นผมอายุ 29 ปี และยังไม่ได้แต่งงาน)

Mobirise

เป้าหมายด้านการเงิน : รายได้จากทรัพย์สิน 40,000 บาทต่อเดือน

จากรายจ่ายในชีวิตประจำวัน 30,000 บาทต่อเดือน ผมตั้งเป้าหมายการเงินสูงขึ้นอีก 10,000 บาท เพื่อจะได้มีเงินเหลือเก็บเอาไว้ออมและลงทุนสร้างความมั่งคั่งเพิ่ม

ผมเริ่มศึกษาหาข้อมูลการลงทุนที่สนใจ และลองมาจัดเป็นพอร์ตรายได้จากทรัพย์สิน (Passive Income) เพื่อจะได้นำมาตั้งเป็นเป้าหมายการเรียนรู้ต่อไป 


เป้าหมายด้านการเรียนรู้ :

1) สร้างรายได้จากงานที่รัก / จากองค์ความรู้ที่มี ซึ่งมีผลตอบแทนขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน

2) สร้างรายได้จากบ้านเช่า 2 หลัง รายได้จากทรัพย์สินขั้นต่ำ 10,000 บาทต่อเดือน

3) สร้างรายได้จากงานอดิเรกที่ชอบ ซึ่งสามารถทำเป็นธุรกิจได้ และมีรายรับขั้นต่ำ เดือนละประมาณ 15,000 บาท

จะเห็นว่าทุกการลงทุนที่ผมต้องการสร้างขึ้นทั้ง 3 ข้อข้างต้นนั้น อาศัยการเรียนรู้เป็นฐานสำคัญ เพราะผมเชื่อว่า ถ้ารู้ เข้าใจ ก็สามารถทำเงินตามเป้าหมายได้ไม่ยาก ... High Understanding, High Return


(ดัดแปลงจาก : Money Coach.in.th)

Develop your own website - Get more