ไปยังหน้า : |
อาจารย์วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี อดีตประธานมูลนิธิแนบ มหานีรานนท์รุ.๑๗๒ ได้แสดงคุณลักษณะพิเศษของชิวหาปสาทรูปไว้ดังต่อไปนี้
ชิวหาปสาทรูปมีคุณสมบัติพิเศษโดยเฉพาะ ที่ไม่เหมือนกันกับปรมัตถธรรมเหล่าอื่น ที่เรียกว่า วิเสสลักษณะ มี ๔ อย่าง ได้แก่ ลักษณะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ลักขณาทิจตุกกะ ดังต่อไปนี้
๑. รสาภิฆาตารหภูตปฺปสาทลกฺขโณ มีความใสแห่งมหาภูตรูปอันควรแก่การกระทบกับรสารมณ์ เป็นลักษณะ
๒. รเสสุ อาวิญฺฉนรโส มีการชักนำมาซึ่งจิตเจตสิกในรสทั้งหลาย เป็นกิจ
๓. ชิวฺหาวิญฺาณสฺส อาธารภาวปจฺจุปฏฺาโน มีการรองรับไว้ได้ซึ่งชิวหาวิญญาณจิต เป็นผลปรากฏ
๔. สายิตุกามตานิทานกมฺมสมุฏฺานกมฺมชมหาภูตปทฏฺาโน มีมหาภูตรูปอันเกิดแต่กรรม มีกรรมเป็นสมุฏฐาน อันเป็นเหตุแห่งความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะลิ้มรสต่าง ๆ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
คำอธิบายเพิ่มเติมของผู้เขียน :
จากคุณสมบัติพิเศษ ที่เรียกว่า วิเสสลักษณะ หรือ ลักขณาทิจตุกกะ ที่ท่านแสดงไว้แล้วนั้น ผู้เขียนจักอธิบายเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจความหมายที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้
๑. รสาภิฆาตารหภูตปฺปสาทลกฺขโณ มีความใสแห่งมหาภูตรูปอันควรแก่การกระทบกับรสารมณ์ เป็นลักษณะ หมายความว่า คุณลักษณะพิเศษที่มีอยู่ประจำของชิวหาปสาทรูปโดยเฉพาะนั้น ได้แก่ ความใสของมหาภูตรูปที่เกิดจากกรรมซึ่งสามารถรับกระทบกับรสารมณ์คือรสได้เท่านั้น เพราะฉะนั้น คำว่า ชิวหาปสาทรูป นี้ จึงไม่ใช่ลิ้นทั้งหมด แต่เป็นความใสของก้อนเนื้ออันเกิดจากกรรม ที่เรียกว่า กัมมชกลาป ที่มีสัณฐานคล้ายปลายกลีบดอกอุบล ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางเนื้อลิ้นเท่านั้น อันเป็นวัตถุคือสถานที่อาศัยเกิดของชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวงและเจตสิกที่ประกอบ และเป็นชิวหาทวารคือเป็นประตูหรือช่องทางในการรับรู้รสารมณ์ของชิวหาทวารวิถีจิตหรือชิวหาทวาริกจิต ถ้าท่ามกลางเนื้อลิ้นไม่มีชิวหาปสาทรูปหรือชิวหาปสาทรูปนั้นถูกทำลายเสียแล้ว บุคคลนั้นย่อมไม่สามารถรับรู้รสารมณ์คือไม่สามารถรู้รสได้เลย ส่วนรูปที่เป็นส่วนประกอบของเนื้อลิ้นอื่น ๆ นั้น เป็นเพียงปัจจัยสนับสนุนให้ชิวหาปสาทรูปได้อาศัยเกิดและเป็นไปได้เท่านั้น ไม่มีส่วนในการรับรู้รสแต่ประการใด เพราะฉะนั้น แม้บุคคลใดหรือสัตว์ตนใดจะมีรูปร่างสัณฐานเนื้อลิ้นที่สวยสดงดงามหรือขี้เหร่น่าเกลียดอย่างไร และมีสัณฐานเล็กหรือใหญ่เพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรู้รสมีมากหรือน้อยแต่ประการใด เพราะปัจจัยสำคัญในการที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรู้รสมีมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับชิวหาปสาทรูปที่เกิดจากกรรม ซึ่งมีความใสอันมีคุณสมบัติพิเศษในการรับกระทบกับรสารมณ์คือรสเท่านั้น ถ้าชิวหาปสาทรูปของบุคคลใดหรือสัตว์ตนใดมีประสิทธิภาพมาก ย่อมสามารถรับรู้รสได้ชัดเจน แต่ถ้าชิวหาปสาทรูปของบุคคลใดหรือสัตว์ตนใดมีประสิทธิภาพน้อย การรับรู้รสย่อมไม่ชัด เพราะประสิทธิภาพของชิวหาปสาทรูปนั้น ก็ได้แก่ ความใสแห่งมหาภูตรูปอันเกิดจากกรรมอันควรแก่การกระทบกับรสารมณ์คือรสเท่านั้น อนึ่ง พวกรูปพรหมทั้งหลายแม้จะมีรูปทรงสัณฐานลิ้นที่สวยงามก็ตาม แต่ท่านเหล่านั้นไม่มีชิวหาปสาทรูป เพราะฉะนั้น รูปพรหมทั้งหลายจึงไม่สามารถรับรู้รสารมณ์คือรสได้เลยตลอดชาติที่เป็นพรหมอยู่นั้น เพราะพรหมทั้งหลาย [ทั้งรูปพรหมและอรูปพรหม] ไม่ต้องบริโภคอาหารใดๆ เลย มีอำนาจแห่งฌานวิบากหล่อเลี้ยงไว้ตลอดชีวิต
๒. รเสสุ อาวิญฺฉนรโส มีการชักนำมาซึ่งจิตเจตสิกในรสทั้งหลาย เป็นกิจหมายความว่า ชิวหาปสาทรูปนี้ย่อมมีหน้าที่อันเป็นคุณสมบัติพิเศษ ที่เรียกว่า สัมปัตติรส คือ หน้าที่อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตนในการรับกระทบกับรสต่าง ๆ คล้าย ๆ กับว่า เป็นช่องทางให้รสารมณ์เข้ามาสู่ลิ้น การกล่าวเช่นนี้ เป็นการกล่าวโดยอุปจารนัยคือนัยโดยอ้อมเท่านั้น เพราะความจริงแล้ว ชิวหาปสาทรูปเป็นรูปธรรมซึ่งมีสภาพเป็นอเหตุกะคือไม่มีเหตุอันทำให้เกิดความหนักแน่น มีสภาพเป็นอจิตตกะคือไม่มีเจตนาในการจัดแจงบงการ และเป็นอนารัมมณะคือเป็นสภาพที่ไม่สามารถรู้อารมณ์ได้ การรับรู้รสย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น กล่าวคือ มีชิวหาปสาทรูปสมบูรณ์ดี มีรสารมณ์มากระทบกับชิวหาปสาทรูป โดยมีอาโปธาตุคือน้ำช่วยซึมซาบเข้าไปสู่ชิวหาปสาท และบุคคลนั้นมีมนสิการคือความใส่ใจที่จะรับรู้ เมื่อเหตุปัจจัยครบบริบูรณ์เช่นนี้แล้ว การรู้รสย่อมสำเร็จได้ แต่ถ้าบกพร่องไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างแล้ว การรู้รสย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ด้วยหน้าที่พิเศษอันเป็นคุณสมบัติของชิวหาปสาทรูปนี้ ท่านจึงเปรียบเสมือนว่า ชิวหาปสาทรูปนี้คล้าย ๆ กับว่า ดึงดูดหรือชักนำรสทั้งหลายให้เข้ามาสู่ลิ้นดังกล่าวแล้ว อนึ่ง การที่ชิวหาปสาทรูปนี้มีหน้าที่ชักนำมาซึ่งรสทั้งหลายนี้ ก็เป็นไปโดยปกติธรรมดาหรือธรรมชาติ ไม่ได้มีการขวนขวายจัดแจงแต่ประการใด กล่าวคือ ชิวหาปสาทรูปก็มิได้รู้ว่าตนเองรับกระทบกับรสหรือต้องการรับรส และรสก็มิได้รู้ว่าตนเองกระทบกับชิวหาปสาทรูปหรือมีความต้องการกระทบกับชิวหาปสาทรูปแต่ประการใด เพียงแต่เมื่อเหตุปัจจัยครบบริบูรณ์ดังกล่าวแล้ว รสารมณ์จึงกระทบกับชิวหาปสาทรูปได้ และชิวหาปสาทรูปก็สามารถรับกระทบกับ รสารมณ์คือรสได้ ทำให้เกิดกระบวนการรู้รสารมณ์โดยชิวหาทวารวิถีจิตต่อไป เพราะฉะนั้น ความเป็นไปแห่งเหตุปัจจัยระหว่างชิวหาปสาทรูปกับรสารมณ์ดังกล่าวมาแล้ว จึงไม่มีบุคคลใดจัดแจงปรุงแต่งให้เป็นไปแต่ประการใด ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันเป็นอัพยากตะล้วน ๆ
๓. ชิวฺหาวิญฺาณสฺส อาธารภาวปจฺจุปฏฺาโน มีการรองรับไว้ได้ซึ่งชิวหาวิญญาณจิต เป็นผลปรากฏ หมายความว่า ชิวหาปสาทรูปนี้ย่อมมีความเกิดดับเป็นไปตามสภาพแห่งรูปธรรมอันเป็นสังขตธรรม คือ ธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอยู่เสมอ แต่เมื่อกล่าวถึงคุณสมบัติอันเป็นผลสำเร็จหรือผลที่ประจักษ์ของชิวหาปสาทรูปนี้แล้ว ไม่ว่าชิวหาปสาทรูปของบุคคลใดหรือสัตว์ตนใดก็ตาม เกิดขึ้นเมื่อไรก็ตาม หรือเกิดขึ้นในภพภูมิใดก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมมีสภาพที่ทรงไว้หรือรองรับไว้ได้ซึ่งชิวหาวิญญาณจิต กล่าวคือ สามารถเป็นสถานที่อาศัยเกิดของชิวหาวิญญาณจิตได้ และเป็นทวารให้ชิวหาทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรับรู้รสารมณ์คือรสได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันเป็นผลประจักษ์ที่บัณฑิตผู้มีปัญญาสามารถกำหนดพิจารณารู้ได้
๔. สายิตุกามตานิทานกมฺมสมุฏฺานกมฺมชมหาภูตปทฏฺาโน มีมหาภูตรูปอันเกิดแต่กรรมมีกรรมเป็นสมุฏฐาน อันเป็นเหตุแห่งความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะลิ้มรสต่าง ๆ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายความว่า ชิวหาปสาทรูปนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีความประชุมพร้อมแห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ [รวมทั้งรูปอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบในกลาปเดียวกันด้วย] ที่เกิดจากกรรมประเภทเดียวกันเป็นฐานรองรับด้วย และมหาภูตรูปทั้งหลาย [รวมทั้งรูปอื่น ๆ ในกลาปเดียวกันนั้น] จะต้องเป็นกัมมชรูปคือรูปที่เกิดจากกรรมที่มีความประสงค์เพื่อจะลิ้มรสด้วย ชิวหาปสาทรูปนี้จึงจะสามารถเกิดร่วมด้วยได้ อนึ่ง การที่ท่านกล่าวว่า มีมหาภูตรูปที่เกิดแต่กรรมอันมีความประสงค์เพื่อจะลิ้มรสต่าง ๆ นั้น เป็นการกล่าวโดยอ้อม เพราะรูปธรรมทั้งหลาย ได้ชื่อว่า อนารัมมณธรรม คือ เป็นสภาพธรรมที่ไม่สามารถรู้อารมณ์ได้เลย แต่ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ มีความมุ่งหมายว่า บรรดารูปธรรมที่เกิดพร้อมกับชิวหาปสาทรูปนั้น จะต้องเป็นรูปธรรมที่เกิดจากกรรมอย่างเดียวกันทั้งหมด และรูปธรรมเหล่านั้นจะต้องมีความพร้อมในการที่จะรับกระทบกับรสารมณ์คือรสได้ด้วยนั่นเอง ถ้ารูปธรรมเหล่านั้นไม่มีความเหมาะสมและไม่มีความพร้อมในการที่จะรับกระทบกับรสารมณ์แล้ว ชิวหาปสาทรูปย่อมไม่สามารถเกิดร่วมด้วยได้ เช่น รูปธรรมที่อยู่ในอวัยวะอื่น ๆ หรือในสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่มีชีวิต เป็นต้น ชิวหาปสาทรูปย่อมไม่สามารถเกิดร่วมกับรูปเหล่านั้นได้เลย เพราะฉะนั้น มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจึงไม่สามารถใช้อวัยวะอื่น ๆ รับรู้รสารมณ์แทนชิวหาปสาทรูปได้ และสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลายย่อมไม่สามารถรับรู้รสต่าง ๆ ได้เลย เพราะไม่มีชิวหาปสาทรูปเกิดร่วมด้วย และเพราะเป็นรูปที่ไม่ได้เกิดจากกรรมนั่นเอง จึงสรุปได้ว่า ชิวหาปสาทรูปนี้ย่อมเกิดร่วมเฉพาะกับมหาภูตรูปทั้ง ๔ [ร่วมทั้งรูปอื่น ๆ ในกลาปเดียวกัน] ที่เกิดจากกรรมอันเป็นเหตุแห่งการลิ้มรสเท่านั้น