ไปยังหน้า : |
อาจารย์วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี อดีตประธานมูลนิธิแนบ มหานีรานนท์รุ.๒๕๖ ได้แสดงคุณลักษณะพิเศษของภาวรูปไว้ดังต่อไปนี้
อิตถีภาวรูปมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตน ซึ่งไม่เหมือนกันกับปรมัตถธรรมเหล่าอื่น ที่เรียกว่า วิเสสลักษณะ มี ๔ ประการ มีลักษณะเป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลักขณาทิจตุกกะ มีดังนี้
๑. อิตฺถีติภาวลกฺขโณ มีสภาพความเป็นของหญิง เป็นลักษณะ
๒. อิตฺถีติปกาสนรโส มีการประกาศความเป็นหญิง เป็นกิจ
๓. อิตฺถีลิงฺคนิมิตฺตกุตฺตากปฺปานํ การณภาวกรณปจฺจุปฏฺาโน มีภาวะคือการกระทำให้รูปร่างสัณฐาน เครื่องหมาย นิสัย กิริยาอาการ ปรากฏออกมา เป็นผลปรากฏ
๔. จตุมหาภูตปทฏฺาโน มีมหาภูตรูป ๔ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
คำอธิบายของผู้เขียน:
จากวิเสสลักษณะหรือลักขณาทิจตุกกะของอิตถีภาวรูปที่ท่านแสดงไว้ข้างต้นนั้น ผู้เขียนขออธิบายขยายความหมายเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้
๑. อิตฺถีติภาวลกฺขโณ มีสภาพความเป็นของหญิง เป็นลักษณะ หมายความว่า อิตถีภาวรูปนั้น ย่อมมีสภาพความเป็นแห่งหญิงที่บุคคลนั้นสามารถรู้สึกได้ด้วยตนเอง ประจำอยู่ในใจหรือในความรู้สึกส่วนลึก หรือบุคคลอื่นสามารถสังเกตรู้ได้ว่า บุคคลนั้นเป็นผู้หญิง โดยอาศัยเครื่องหมายต่าง ๆ ที่แสดงออกมาโดยมีอิตถีภาวรูปนั้นเป็นเหตุสำคัญ เพราะฉะนั้น คุณลักษณะพิเศษเฉพาะตนของอิตถีภาวรูปนี้ ย่อมมีสมรรถภาพให้บุคคลนั้นเกิดความรู้สึกในความเป็นหญิงของตนเองได้ตามประสิทธิภาพแห่งอิตถีภาวรูปที่กรรมสร้างมา กล่าวคือ ถ้ากรรมที่สร้างอิตถีภาวรูปนั้นมีกำลังเต็มที่ ย่อมสร้างความเป็นหญิงขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพเต็มที่ ทำให้บุคคลนั้นมีความรู้สึกในความเป็นหญิงอย่างเต็มที่ ทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ถ้ากรรมที่สร้างอิตถีภาวรูปนั้นมีกำลังบกพร่องไป ย่อมสร้างความเป็นหญิงขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพได้ไม่เต็มที่ ทำให้บุคคลนั้นมีความรู้สึกในความเป็นหญิงได้ไม่เต็มทีเช่นเดียวกัน มีความรู้สึกว่าตนเอง เป็นหญิงบ้าง เป็นชายบ้าง เช่น คนที่เป็นทอม หรือดี้ เป็นต้น
๒. อิตฺถีติปกาสนรโส มีการประกาศความเป็นหญิง เป็นกิจ หมายความว่า อิตถีภาวรูปนี้ ย่อมมีบทบาทสำคัญต่อความรู้สึกในความเป็นหญิงของสตรีแต่ละคนหรือสัตว์เพศเมียแต่ละตัว และทำให้บุคคลอื่นหรือสัตว์อื่นสามารถสังเกตรู้ได้ว่าบุคคลนั้นเป็นผู้หญิง หรือสัตว์ตัวนั้นเป็นเพศเมีย เพราะอิตถีภาวรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วไปในร่างกายของหญิงนั้นเป็นปัจจัยให้เครื่องหมายต่าง ๆ ปรากฏออกมา เช่น ผิวพรรณ อวัยวะแขน ขา หน้าตา หน้าอก เส้นผม เส้นขน หรือกิริยายืน เดิน นั่ง นอน การพูด น้ำเสียง ของเล่น การงานที่ชอบทำ หรืออวัยวะเพศ เป็นต้น คล้าย ๆ กับว่า อิตถีภาวรูปนี้พยายามที่จะประกาศความเป็นหญิงออกมาให้ปรากฏแก่บุคคลทั้งหลาย ฉันนั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว อิตถีภาวรูปนี้ มีสภาพเป็นอัพยากตะ คือ สภาพธรรมที่ไม่มีการขวนขวายให้สิ่งใดเกิดขึ้นแต่ประการใด มีสภาพเป็นอจิตตกะ คือ ไม่มีเจตนาบงการบังคับบัญชาหรือจัดแจงให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นไปตามที่ตนหรือบุคคลใดปรารถนาทั้งสิ้น แต่มีสภาพเป็นสังขตธรรม คือ ธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งให้ปรากฏเกิดขึ้น ได้แก่ มีกรรมเป็นสมุฏฐาน มีสภาพเป็นวิบากคือเป็นผลแห่งกรรม และมีกรรมเป็นผู้ปรุงแต่ง เป็นไปตามอำนาจแห่งกรรม เพราะฉะนั้น อิตถีภาวรูปนี้จึงไม่สามารถประกาศบอกใคร ๆ ให้รู้ถึงความเป็นหญิงได้ แต่เพราะมีสมรรถภาพอันเป็นคุณสมบัติที่เป็นฐานรองรับความรู้สึกในความเป็นหญิงของบุคคลนั้น ๆ ที่เรียกว่า สัมปัตติรส คือ หน้าที่อันเป็นคุณสมบัติติดมากับอิตถีภาวรูปนั่นเอง ที่ให้ปรากฏความรู้สึกในความเป็นหญิงและเครื่องหมายแห่งหญิงต่าง ๆ ออกมาให้ปรากฏ จึงเป็นไปคล้ายกับว่า พยายามกระตุ้นตนเองว่า ตนเป็นหญิง และประกาศบอกแก่บุคคลทั้งหลายว่า บุคคลนี้เป็นหญิง หรือสัตว์ตัวนี้เป็นสัตว์เพศเมีย
๓. อิตฺถีลิงฺคนิมิตฺตกุตฺตากปฺปานํ การณภาวกรณปจฺจุปฏฺาโน มีภาวะคือการกระทำให้รูปร่างสัณฐาน เครื่องหมาย นิสัย กิริยาอาการ ปรากฏออกมา เป็นผลปรากฏ หมายความว่า ผลปรากฏของอิตถีภาวรูปนี้ ที่ทำให้ตนเองก็ดี บุคคลอื่นก็ดี สามารถรู้สึกในความเป็นหญิงของตนได้ หรือสามารถสังเกตรู้ในความเป็นหญิงได้นั้น ก็คือ ทำให้รูปร่างสัณฐาน นิสัยใจคอ นิมิตเครื่องหมาย และอากัปกิริยาต่าง ๆ ที่ปรากฏออกมาจากบุคคลนั้น โดยมีอิตถีภาวรูปนี้เองเป็นเหตุปัจจัยสำคัญ ถ้าไม่มีอิตถีภาวรูปแล้ว เครื่องหมายต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมปรากฏเกิดขึ้นไม่ได้เลย เช่น ในร่างกายของผู้ชายหรือสัตว์เพศผู้ ย่อมไม่มีเครื่องหมายต่าง ๆ ที่เป็นของเฉพาะผู้หญิงหรือสัตว์เพศเมียปรากฏขึ้นเลย หรือในสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลาย ย่อมไม่มีเครื่องหมายที่บ่งบอกว่า เป็นเพศผู้หรือเพศเมียเลย [นอกจากบุคคลกำหนดหมายหรือสมมุติกันขึ้นมาเองเท่านั้น] ที่เป็นเช่นนี้ เพราะสิ่งไม่มีชีวิตเหล่านี้ไม่มีอิตถีภาวรูปนั่นเอง เพราะฉะนั้น อิตถีภาวรูปนี้ย่อมมีสมรรถภาพพิเศษเฉพาะตน คือ การกระทำให้รูปร่างสัณฐาน เครื่องหมาย นิสัย กิริยาอาการ ปรากฏออกมา ดังกล่าวแล้ว
๔. จตุมหาภูตปทฏฺาโน มีมหาภูตรูป ๔ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายความว่า อิตถีภาวรูปนี้ เป็นหนึ่งในอุปาทายรูป ๒๔ คือ เป็นรูปธรรมที่ต้องอาศัยมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นฐานรองรับในการเกิดขึ้นทั้งสิ้น เพราะอิตถีภาวรูปนี้เป็นเพียงรูปธรรมที่ซึมซาบอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเท่านั้น ไม่มีรูปร่างสัณฐานปรากฏอยู่โดยเฉพาะ และสิ่งที่อิตถีภาวรูปซึมซาบอยู่นั้น ก็ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลมเป็นหลัก โดยมีธาตุดินเป็นสภาพแข็งเป็นที่อาศัยซึบซาบอยู่ มีธาตุน้ำเป็นเครื่องยึดเกาะธาตุอื่น ๆ ให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน มีธาตุไฟเป็นสภาพอุณหภูมิหล่อเลี้ยงให้อยู่ในสภาพที่พอเหมาะ มีธาตุลมเป็นตัวกระพือพัดปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะ อนึ่ง ในบรรดารูปกลาปทั้งหมดนั้น ย่อมมีมหาภูตรูปทั้ง ๔ รวมเป็นองค์ประกอบสำคัญอยู่ทุกกลาป อิตถีภาวรูปนี้ก็มีสภาพเป็นกลาป เรียกว่า อิตถีภาวทสกกลาป แปลว่า กลุ่มรูป ๑๐ รูป มีอิตถีภาวรูปเป็นประธาน ซึ่งใน ๑๐ รูปนั้น ได้แก่ อิตถีภาวรูป ๑ มหาภูตรูป ๔ วัณณรูป ๑ คันธรูป ๑ รสรูป ๑ ชีวิตรูป ๑ และอาหารรูป ๑ เพราะฉะนั้น อิตถีภาวรูปนี้จะปรากฏเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นฐานรองรับที่สำคัญดังกล่าวแล้ว
สรุปความแล้ว อิตถีภาวรูปนี้ย่อมมีสภาพความเป็นหญิงเป็นลักษณะ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความเป็นหญิงได้ หรือเป็นเหตุให้บุคคลอื่นสามารถสังเกตรู้ถึงความเป็นหญิงได้โดยอาศัยอิตถีภาวรูปนี้ มีหน้าที่อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตนเหมือนกับว่า พยายามประกาศให้บุคคลนั้นหรือบุคคลอื่นรู้ว่าเป็นหญิง เป็นสัมปัตติรส คือ หน้าที่อันปรากฏจากคุณสมบัติ มีการเป็นเหตุให้รูปร่างสัณฐาน เครื่องหมาย นิสัย กิริยาอาการ ปรากฏออกมา เป็นผลปรากฏ มีสภาพคล้ายกับว่า จัดแจงให้สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้น แต่ความจริงแล้ว ความเป็นไปของอิตถีภาวรูปก็ดี เครื่องหมายต่าง ๆ ที่ปรากฏออกมาโดยมีอิตถีภาวรูปเป็นเหตุสำคัญก็ดี ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยของตน ๆ ทั้งสิ้น โดยที่อิตถีภาวรูปไม่มีอำนาจใด ๆ มาจัดแจงหรือบงการบังคับบัญชาให้เป็นไปแต่ประการใด มีสภาพเป็นอนัตตาล้วน ๆ ไม่มีใครจัดแจงบังคับบัญชาแต่ประการใด และอิตถีภาวรูปนี้ต้องมีมหาภูตรูป ๔ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด จึงจะปรากฏเกิดขึ้นได้ เพราะอิตถีภาวรูปเป็นอุปาทายรูป คือ รูปที่ต้องอาศัยมหาภูตทั้ง ๔ เกิด เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ แล้ว อิตถีภาวรูปนี้ก็ไม่มีที่อาศัยเกิด และย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน