ไปยังหน้า : |
กุสีตวัตถุ หมายถึง เรื่องราวที่ทำให้เกิดความเกียจคร้าน หรือข้ออ้างของผู้เกียจคร้าน ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อวิริยเจตสิก มี ๘ ประการ คือ
๑. เมื่อเราทำการงานก็จักลำบากกาย อย่ากระนั้นเลย เราขอนอนดีกว่า
๒. เราได้ทำการงานและลำบากกายมาแล้ว อย่ากระนั้นเลย เราขอนอนดีกว่า
๓. เมื่อเราเดินทางก็จักลำบากกาย อย่ากระนั้นเลย เราขอนอนดีกว่า
๔. เราได้เดินทางมาและลำบากกายมาแล้ว อย่ากระนั้นเลย เราขอนอนดีกว่า
๕. เราเที่ยวบิณฑบาตก็ไม่ได้อาหารใด ๆ ลำบากกายแล้ว ไม่ควรจะทำการงานใด ๆ อย่ากระนั้นเลย เราขอนอนดีกว่า
๖. เราเที่ยวบิณฑบาตได้อาหารพอแก่ความต้องการแล้ว เหน็ดเหนื่อยร่างกายแล้ว ไม่ควรจะทำการงานใด ๆ อย่ากระนั้นเลย เราขอนอนดีกว่า
๗. ความอาพาธเริ่มเกิดขึ้นแก่เราแล้ว อย่ากระนั้นเลย เรามีข้ออ้างที่จะนอนละ เราขอนอนดีกว่า
๘. เราหายจากอาพาธแล้ว แต่สร่างไข้ได้ไม่นาน กายของเรายังอ่อนเพลีย ยังไม่ควรจะทำการงาน อย่ากระนั้นเลย เรามีข้ออ้างที่จะนอนละ เราขอนอนดีกว่า
ดังหลักฐานที่มาในสังคีติสูตร พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรคว่า กุสีตวัตถุ หมายถึง เหตุที่ทำให้เกิดความเกียจคร้าน ๘ ประการ คือ ผู้มีอายุทั้งหลาย การงานที่ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้จำต้องกระทำมีอยู่ เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า
๑. เราจักต้องทำการงาน ก็เมื่อเราทำการงานอยู่ กายของเราย่อมลำบาก อย่ากระนั้นเลย เราขอนอนดีกว่า
๒. เราแลได้ทำการงานเสร็จแล้ว เมื่อเราทำการงานอยู่ กายได้ลำบากมาแล้ว เราขอนอนดีกว่า
๓. เราจักต้องเดินทาง เมื่อเราเดินทางอยู่ กายก็จักลำบาก เราขอนอนดีกว่า
๔. เราได้เดินทางมาแล้ว เมื่อเราเดินทางอยู่นั้น กายได้ลำบากมาแล้ว เราขอนอนดีกว่า
๕. เราเที่ยวบิณฑบาตไปตามหมู่บ้านหรือนิคมอยู่ ย่อมไม่ได้อาหารใด ๆ ไม่ว่าจะเศร้าหมองหรือประณีตที่เพียงพอแก่ความต้องการ กายของเรานั้นได้ลำบากแล้ว ไม่ควรจะกระทำการงานใด ๆ อีก เราขอนอนดีกว่า
๖. เราเที่ยวบิณฑบาตไปตามหมู่บ้านหรือนิคมอยู่ ย่อมได้อาหารอันประณีตและเพียงพอแก่ความต้องการ ร่างกายของเรานั้นหนัก ไม่ควรจะกระทำการงานใดๆ อีก เราขอนอนดีกว่า
๗. อาพาธเล็กน้อยนี้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว เรามีข้ออ้างที่จะนอนละ เราขอนอนดีกว่า
๘. เราหายจากอาพาธแล้ว แต่ยังสร่างไข้ได้ไม่นาน กายของเรายังอ่อนเพลีย ยังไม่ควรจะทำการงาน อย่ากระนั้นเลย เรามีข้ออ้างที่จะนอนละ เราขอนอนดีกว่า
เมื่อบุคคลมีความคิดอย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมเกิดความท้อแท้ ไม่ปรารภความเพียรเพื่อกระทำภารกิจการงานที่ตนต้องทำให้สำเร็จไป หรือไม่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุให้บรรลุถึงจุดหมายนั้น เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง