ไปยังหน้า : |
เหตุให้เกิดโกลุตตรปัญญานั้น ได้แก่ การเกิดขึ้นของวิปัสสนาญาณตามลำดับ
วิปัสสนาญาณ หมายถึง ปัญญาที่กำหนดรู้เห็นรูปนามขันธ์ ๕ โดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ เห็นประจักษ์แจ้ง ซึ่งไตรลักษณ์แห่งรูปนาม เรียกว่า ปัจจักขสิทธิญาณ ตามลำดับ คือ
๑. นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดรู้เห็นรูปนามว่า เป็นคนละสิ่ง คนละส่วน ไม่ได้ระคนปนกันจนแยกกันไม่ได้เลย
๒. ปัจจยปริคคหญาณ คือ ปัญญาที่กำหนดรู้เห็นปัจจัยที่ทำให้เกิดรูปนามขึ้น
๓. สัมมสนญาณ คือ ปัญญาที่กำหนดรู้เห็นรูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์
๔. อุทยัพพยญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดรู้เห็นทั้งความเกิดและความดับของรูปนาม ทำให้เห็นรูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์อย่างชัดเจน อุทยัพพยญาณนี้จำแนกเป็น ๒ อย่าง คือ
๔.๑ ตรุณอุทยัพพยญาณ เป็นอุทยัพพยญาณที่ยังอ่อนอยู่ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ยังเกิดขึ้นรบกวนอยู่
๔.๒ พลวอุทยัพพยญาณ เป็นอุทยัพพยญาณที่แก่กล้า สามารถข้ามพ้นจากวิปัสสนูปกิเลสได้แล้ว
๕. ภังคญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดพิจารณาใส่ใจถึงแต่ความดับไปแห่งรูปนามอย่างเดียว
๖. ภยญาณ หรือ ภยตูปัฏฐานญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดรู้เห็นรูปนามโดยความเป็นภัยอันน่ากลัว
๗. อาทีนวญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดพิจารณาเห็นว่า รูปนามนี้เป็นโทษ
๘. นิพพิทาญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดพิจารณาเห็นว่า นามรูปเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย
๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ คือ ปัญญาญาณที่ปรารถนาจะพ้นไปจากรูปนาม
๑๐. ปฏิสังขาญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดพิจารณาหาทางที่จะหนีให้พ้นไปจากรูปนาม
๑๑. สังขารุเปกขาญาณ คือ ปัญญาที่กำหนดพิจารณาวางเฉยในรูปนาม
๑๒. อนุโลมญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดพิจารณาเห็นรูปนามให้คล้อยไปตามอริยสัจจญาณ
๑๓. โคตรภูญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดพิจารณาข้ามพ้นจากรูปนามไปสู่สภาพของพระนิพพาน
๑๔. มัคคญาณ คือ ปัญญาญาณที่รับรู้สภาพของพระนิพพานอย่างแจ่มแจ้ง พร้อมกับทำการประหาณอนุสัยกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ไปในขณะเดียวกันนั้นด้วย
๑๕. ผลญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดรับรู้พระนิพพานเป็นอารมณ์ต่อจากมรรคญาณ
๑๖. ปัจจเวกขณญาณ คือ ปัญญาญาณที่กำหนดพิจารณาสภาพธรรมต่าง ๆ หลังจากผลญาณดับลงแล้วเจ.๒๙