ไปยังหน้า : |
อาจารย์วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี อดีตประธานมูลนิธิแนบ มหานีรานนท์รุ.๒๒๓ ได้แสดงคุณลักษณะพิเศษของรสรูปไว้ดังต่อไปนี้
รสรูปมีคุณสมบัติพิเศษโดยเฉพาะ ที่ไม่เหมือนกันกับปรมัตถธรรมเหล่าอื่น ที่เรียกว่า วิเสสลักษณะ มี ๔ อย่าง ได้แก่ ลักษณะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ลักขณาทิจตุกกะ ได้แก่
๑. ชิวฺหาปฏิหนนลกฺขโณ มีการกระทบกับชิวหาประสาท เป็นลักษณะ
๒. ชิวฺหาวิญฺาณสฺส วิสยภาวรโส มีการเป็นอารมณ์ให้แก่ชิวหาวิญญาณจิต เป็นกิจ
๓. ตสฺเสว โคจรปจฺจุปฏฺาโน มีการรู้รสของชิวหาวิญญาณจิต เป็นผลปรากฏ
๔. จตุมหาภูตปทฏฺาโน มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
คำอธิบายเพิ่มเติมของผู้เขียน :
จากวิเสสลักษณะหรือลักขณาทิจตุกกะของรสรูปหรือรสารมณ์ที่ท่านแสดงไว้ข้างต้นนั้น ผู้เขียนขออธิบายขยายความหมายเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้
๑.ชิวฺหาปฏิหนนลกฺขโณ มีการกระทบกับชิวหาประสาท เป็นลักษณะ หมายความว่า รสรูปหรือรสารมณ์นี้ ย่อมมีสภาวะลักษณะโดยเฉพาะของตน อันเป็นคุณสมบัติพิเศษประจำตัวอยู่เสมอ กล่าวคือ รสต่าง ๆ อันมีธาตุน้ำช่วยซึมซับเข้าไปนั้น ย่อมสามารถกระทบกับชิวหาปสาทรูปได้เท่านั้น ย่อมไม่สามารถกระทบกับปสาทรูปอย่างอื่น มีจักขุปสาทรูปเป็นต้นได้เลย นี้จัดเป็นคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัวอันเป็นสภาวลักษณะของรสรูปหรือรสารมณ์คือรสต่าง ๆ
๒. ชิวฺหาวิญฺาณสฺส วิสยภาวรโส มีการเป็นอารมณ์ให้แก่ชิวหาวิญญาณจิต เป็นกิจ หมายความว่า หน้าที่อันเป็นคุณสมบัติ ที่เรียกว่า สัมปัตติรส ของรสรูปคือรสารมณ์นั้น ก็คือ สามารถปรากฏแก่ชิวหาวิญญาณจิตและชิวหาทวาริกจิตอื่น ๆ ทั้ง ๔๖ ดวงตามสมควร ได้แก่ กามาวจรจิต ๔๖ ดวง [เว้นจักขุวิญญาณจิต ๒ โสตวิญญาณจิต ๒ ฆานวิญญาณจิต ๒ กายวิญญาณจิต ๒] โดยอาศัยชิวหาทวาร ซึ่งหน้าที่นี้ เป็นหน้าที่อันเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวมากับรสรูปหรือรสารมณ์โดยเฉพาะ ไม่ใช่หน้าที่ที่เป็นการขวนขวายเพื่อจะทำ ที่เรียกว่า กิจจรส แต่ประการใด เพราะรสรูปหรือรสารมณ์นั้น เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นอัพยากตะ คือ สภาพธรรมที่ไม่มีความขวนขวายเพื่อจะกระทำให้เกิดขึ้น และมีสภาพเป็นอจิตตกะ คือ ไม่มีเจตนาที่จะจัดแจงหรือบงการบังคับบัญชาให้สิ่งใดเกิดขึ้นหรือเป็นไปแต่ประการใด กล่าวคือ รสรูปหรือรสารมณ์เอง ก็ไม่มีความรู้สึกว่าตนเองกระทบกับชิวหาปสาทหรือมีความต้องการเพื่อจะกระทบกับชิวหาปสาทแต่ประการใด และชิวหาปสาทเองก็ไม่มีความรู้สึกว่า ตนเองถูกรสรูปหรือรสารมณ์กระทบเข้าแล้ว หรือไม่มีความต้องการเพื่อจะให้รสรูปหรือรสารมณ์มากระทบกับตนเช่นเดียวกัน การกระทบกันระหว่างชิวหาปสาทกับรสารมณ์นี้ ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น กล่าวคือ เมื่อชิวหาปสาทรูปกับรสารมณ์อยู่ในสภาพที่สามารถกระทบกันได้ ย่อมกระทบกัน แต่ถ้าทั้ง ๒ อย่างนั้นอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถกระทบกัน ย่อมกระทบกันไม่ได้ การกระทบกันนี้ล้วนแต่เป็นไปตามสภาพแห่งอนัตตา คือ เป็นไปตามเหตุปัจจัยล้วน ๆ โดยไม่มีใครมาบงการบังคับบัญชาให้เป็นไปแต่ประการใดทั้งสิ้น
๓. ตสฺเสว โคจรปจฺจุปฺปฏฺาโน มีการรู้รสของชิวหาวิญญาณหรือมีการเป็นอารมณ์แก่ชิวหาวิญญาณจิตนั่นเอง เป็นอาการปรากฏ หมายความว่า สภาพแห่งรสรูปหรือรสารมณ์นี้ ย่อมปรากฏแก่ชิวหาวิญญาณจิต ๒ หรือชิวหาทวาริกจิต ๔๖ ดวง ได้แก่ กามาวจรจิต ๔๖ ดวง [เว้นจักขุวิญญาณจิต ๒ โสตวิญญาณจิต ๒ ฆานวิญญาณจิต ๒ กายวิญญาณจิต ๒] ทางชิวหาทวารเท่านั้น จะปรากฏแก่วิญญาณจิตอื่นหรือทวาริกจิตเหล่าอื่น และทางทวารอื่น ที่นอกจากนี้หาได้ไม่ นี้เป็นสภาวลักษณะพิเศษเฉพาะตนที่ปรากฏเป็นผลสำเร็จออกมาของรสรูปหรือรสารมณ์ ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติหรือธรรมดา อันเป็นอนัตตาของสภาวธรรมทั้งหลายเท่านั้น คือ ไม่มีบุคคลใดเป็นผู้จัดแจงหรือบงการบังคับบัญชาให้เป็นไปแต่ประการใด เป็นไปตามเหตุปัจจัยล้วน ๆ
๔. จตุมหาภูตปทฏฺาโน มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายความว่า บรรดารูปธรรมทั้งหลาย จะเกิดขึ้นโดยลำพังตนเองอย่างเดียวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ จะต้องเกิดร่วมกันเป็นหมวดหมู่หรือกอง ที่เรียกว่า รูปกลาป ทั้งสิ้น และบรรดาอุปาทายรูปทั้งหลาย ย่อมปรากฏเกิดขึ้นโดยลำพังตนเองไม่ได้ จะต้องอาศัยมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นฐานรองรับจึงจะปรากฏเกิดขึ้นได้ รสรูปหรือรสารมณ์นี้ก็เป็นหนึ่งในอุปาทายรูป ๒๔ เพราะฉะนั้น รสรูปนี้จะปรากฏเกิดขึ้นได้ จะต้องมีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นฐานรองรับให้ปรากฏเกิดขึ้น เพราะรสรูปนี้ก็คือรสของมหาภูตรูปทั้ง ๔ เท่านั้น ถ้าไม่มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อยู่แล้ว รสของธาตุเหล่านั้น ย่อมปรากฏไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่มีที่อาศัย อนึ่ง ในบรรดากลาปรูปที่มีรสเกิดร่วมด้วยนั้น ก็มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นองค์ประกอบร่วมด้วยทุกกลาปไป เพราะในกลาปนั้นย่อมมีธาตุดินที่มีสภาพอ่อนหรือแข็ง มีธาตุน้ำเป็นตัวเกาะกุมรูปทั้งหลายไว้ในกลาปเดียวกัน มีธาตุไฟเป็นไออุ่นหรือเย็น มีธาตุลมทำให้เกิดความเบาหรือเคร่งตึง มีวัณณรูปคือสี มีคันธรูปคือกลิ่น มีรสรูปคือรสต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มอวินิพโภครูป ๘ อันเป็นองค์ประกอบหลักของกลุ่มรูปทุกกลาป เพราะฉะนั้น มหาภูตรูปทั้ง ๔ จึงเป็นเหตุอันใกล้ที่สุดที่จะให้รสรูปหรือรสารมณ์นี้ปรากฏเกิดขึ้นได้ กล่าวคือ เป็นฐานรองรับการเกิดขึ้นของรสรูปหรือรสารมณ์ดังกล่าวแล้วนั่นเอง
เมื่อสรุปความแล้ว คุณสมบัติพิเศษของรสรูปหรือรสารมณ์คือรสต่าง ๆ ที่เรียกว่า วิเสสลักษณะหรือลักขณาทิจตุกกะนั้น ได้แก่ ย่อมมีการกระทบกับชิวหาปสาท เป็นลักษณะ มีการเป็นอารมณ์ให้ชิวหาวิญญาณ เป็นกิจ มีความเป็นอารมณ์ให้แก่ชิวหาวิญญาณนั่นเอง เป็นอาการปรากฏ และมีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด ซึ่งความเป็นไปเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของสภาวธรรมที่เป็นรูปธรรม อันมีสภาพเป็นอัพยากตะ คือ ไม่มีความขวนขวายด้วยตนเอง มีสภาพเป็นอจิตตกะ คือ ไม่มีเจตนาในการจัดแจงหรือบงการบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่ตนปรารถนา และมีสภาพเป็นสังขตธรรม คือ เป็นไปตามที่เหตุปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อมีเหตุปัจจัย ย่อมปรากฏเกิดขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยนแปลง ย่อมเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเหตุปัจจัยดับ ย่อมดับไปตามเหตุปัจจัย อันเป็นสภาพแห่งอนัตตาล้วน ๆ ไม่มีตัวตนหรือบุคคลใดมาเป็นผู้บงการทั้งสิ้น