ไปยังหน้า : |
๑. ภัสสพหุลตา เป็นคนชอบพูดมากและดีแต่พูด แต่เวลาทำกิจการงานนั้น มักมีอาการจับจด ท้อแท้เบื่อหน่ายงานง่าย
๒. คณรามตา มีความยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะอันก่อให้เกิดความมั่วสุมไร้ประโยชน์และเกิดความเกียจคร้านต่อการงานที่ดีงาม
๓. กุสลานุโยเค อรติ ไม่ยินดีในการประกอบกุศล ยินดีแต่ในการประกอบอกุศล คือ ถ้าชวนไปทำชั่วก็ไปได้ทุกที่ แต่ถ้าชวนไปทำดีแล้ว ขอคิดดูก่อน มักอ้างโน่นอ้างนี่อยู่เรื่อยไป
๔. อนวัฏฐิกิจจตา มีกิจไม่มั่นคง มีอาการกลับกลอกจับจด ขาดการตัดสินใจที่เด็ดขาด มักลังเล พะว้าพะวงจนเกินเหตุ
๕. รัตติธูมายนา กลางคืนเป็นควัน หมายความว่า พอตกกลางคืนได้บรรยากาศเงียบสงัด ความคิดอ่านก็โลดแล่นไปอย่างฟุ้งซ่านเป็นตุเป็นตะจนหลับไม่ลง
๖. ทิวาปัชชลตา กลางวันเป็นเปลว หมายความว่า พอตกกลางวันก็มีอาการหาววาบ ๆ แต่เมื่อไปนอนก็นอนไม่ค่อยหลับ พอตื่นขึ้นมาความคิดฟุ้งซ่านก็ลุกโพลงอีก เป็นเหมือนเปลวไฟ
๗. หุราหุรัง ธาวนา เป็นคนคิดพล่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ นานา จนยากที่จะหยุดยั้งความคิดได้
ข้อสังเกต... จริตต่าง ๆ ดังที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงมติของพระอรรถกถาซึ่งท่านได้วางหลักไว้เพื่อเป็นเครื่องกำหนดพิจารณาในการที่จะเลือกอารมณ์ให้เหมาะกับจริตของตนเอง หรือการให้อารมณ์กรรมฐานแก่บุคคลอื่นเท่านั้น มิใช่เป็นพุทธพจน์แท้แต่ประการใด ซึ่งจะถือเอาเป็นมาตรฐานโดยถูกต้องแน่นอนนั้นไม่ได้ เพียงแต่ใช้เป็นข้อสังเกตดูนิสัยของผู้ปฏิบัติโดยทั่ว ๆ ไปเท่านั้น และบางคนไม่ใช่ว่าจะมีเพียงจริตเดียวเท่านั้น อาจมีได้ถึง ๒-๓-๔ จริตปนกันอยู่ ฉะนั้น ผู้อื่นนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว การที่จะล่วงรู้จริตส่วนลึกของสัตว์ทั้งหลาย ก็เป็นไปได้ยาก