ไปยังหน้า : |
มหากิริยาจิต ดวงที่ ๑
โสมนัสสสหคตัง ญาณสัมปยุตตัง อสังขาริกัง
จิตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการชักชวน พร้อมด้วยความดีใจ ประกอบด้วยปัญญา
มหากิริยาจิตดวงที่ ๑ นี้เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์รับรู้อารมณ์ ๖ ทางทวาร ๖ หรือกระทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ เป็นจิตที่เกิดพร้อมด้วยความปลาบปลื้มยินดี ทั้งมีความรู้ความเข้าใจในอารมณ์นั้น ๆ อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง เกิดขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีการกระตุ้นเตือนหรือชักชวน เนื่องจากมีประสบการณ์ในอารมณ์นั้น ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลทั้งหลาย ด้วยอำนาจสัพพัญญุตญาณ โดยอาศัยความกรุณาที่มีต่อสรรพสัตว์เป็นที่ตั้ง ย่อมทรงทำกิจนั้น ด้วยความริเริ่มด้วยพระองค์เองและทรงกระทำด้วยความโสมนัสยินดี พร้อมทั้งทรงใช้พระปัญญาอันละเอียดลึกซึ้ง ตามสมควรแก่อุปนิสัยบารมีของบุคคลนั้น ๆ ดังนี้เป็นต้น
มหากิริยาจิต ดวงที่ ๒
โสมนัสสสหคตัง ญาณสัมปยุตตัง สสังขาริกัง
จิตที่เกิดขึ้นโดยมีการชักชวน พร้อมด้วยความดีใจ ประกอบด้วยปัญญา
มหากิริยาจิตดวงที่ ๒ นี้เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์รับรู้อารมณ์ ๖ ทางทวาร ๖ หรือกระทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ เป็นจิตที่เกิดพร้อมด้วยความปลาบปลื้มยินดี และมีความรู้ความเข้าใจในอารมณ์นั้น ๆ อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ซึ่งเกิดขึ้นโดยต้องมีการกระตุ้นเตือนหรือชักชวน เนื่องจากไม่ค่อยได้สั่งสมอุปนิสัยมาในกิจการงานด้านนั้น จึงไม่ค่อยมีความถนัดเจนจัดและชำนาญ หรือเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยต้องการอยู่สำราญในทิฏฐธรรม เช่น พระอรหันต์บางท่าน ที่ต้องมีการอาราธนาเชื้อเชิญก่อนแล้ว จึงจะแสดงธรรมให้ฟัง หรือต้องสอบสวนทวนถามข้ออรรถข้อธรรมก่อนแล้ว ท่านจึงจะชี้แจงแสดงให้ฟังหรือบอกสอนข้ออรรถข้อธรรมนั้นให้ ดังนี้เป็นต้น แต่เมื่อได้รับการอาราธนาเชื้อเชิญแล้ว ท่านก็กระทำกิจนั้น ๆ ด้วยความปลาบปลื้มยินดี พร้อมทั้งใช้วิจารณญาณในการทำกิจนั้น ๆ ให้ถูกต้อง และให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยมุ่งหวังประโยชน์แก่ผู้รับหรือประโยชน์แก่พระศาสนาเป็นใหญ่ ด้วยความปรารถนาดีเป็นเบื้องหน้า เป็นต้น
มหากิริยาจิต ดวงที่ ๓
โสมนัสสสหคตัง ญาณวิปปยุตตัง อสังขาริกัง
จิตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการชักชวน พร้อมด้วยความดีใจ ไม่ประกอบด้วยปัญญา
มหากิริยาจิตดวงที่ ๓ นี้เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์รับรู้อารมณ์ ๖ ทางทวาร ๖ หรือกระทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ที่ไม่ต้องใช้ปัญญา เป็นจิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความปลาบปลื้มยินดี และเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีการกระตุ้นเตือนหรือชักชวน เนื่องจากมีประสบการณ์ในอารมณ์นั้นๆ หรือได้สั่งสมอุปนิสัยในการทำกิจการงานนั้น ๆ มาเป็นอย่างดี เช่น พระอรหันต์ที่บำเพ็ญกิจวัตรประจำวันอยู่เสมอ ได้แก่ การสรงน้ำ การซักผ้า การปัดกวาดวิหารลานพระเจดีย์ เป็นต้น ด้วยอุปนิสัยที่เป็นผู้ริเริ่มขวนขวาย และทำด้วยความปลาบปลื้มยินดี แต่เนื่องจากเป็นกิจการงานที่ทำอยู่เป็นประจำจนชำนาญแล้ว จึงไม่ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาหาเหตุผลของกิจการงานนั้น ๆ แต่อย่างใด
มหากิริยาจิต ดวงที่ ๔
โสมนัสสสหคตัง ญาณวิปปยุตตัง สสังขาริกัง
จิตที่เกิดขึ้นโดยมีการชักชวน พร้อมด้วยความดีใจ ไม่ประกอบด้วยปัญญา
มหากิริยาจิตดวงที่ ๔ นี้เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์รับรู้อารมณ์ ๖ ทางทวาร ๖ หรือกระทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ที่ไม่ต้องใช้ปัญญา แต่ว่ากิจการงานนั้น ๆ หรืออารมณ์นั้น ๆ ท่านไม่ค่อยมีประสบการณ์ หรือไม่ค่อยได้สั่งสมอุปนิสัยมาในทางนี้ จึงต้องอาศัยการกระตุ้นเตือนหรือชักชวน แต่เมื่อกระทำหรือตอบสนองต่ออารมณ์นั้น ก็ทำด้วยความปลาบปลื้มยินดี เช่น พระอรหันต์บางรูป เป็นผู้มีความขวนขวายน้อยในกิจการงานต่าง ๆ ต้องการที่จะอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม จึงวางเฉยต่อกิจการงานต่าง ๆ แต่เมื่อได้รับการกระตุ้นเตือนชักชวนหรือเชื้อเชิญแล้ว ท่านก็ทำด้วยความปีติยินดี
มหากิริยาจิต ดวงที่ ๕
อุเปกขาสหคตัง ญาณสัมปยุตตัง อสังขาริกัง
จิตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการชักชวน พร้อมด้วยความเฉย ๆ ประกอบด้วยปัญญา
มหากิริยาจิตดวงที่ ๕ เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์รับรู้อารมณ์ ๖ ทางทวาร ๖ หรือกระทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ เป็นจิตที่เกิดพร้อมด้วยความวางเฉย และต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์นั้น ๆ หรือในการทำกิจการงานนั้น ๆ อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ซึ่งเกิดขึ้นด้วยการปรารภขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีการกระตุ้นเตือนหรือชักชวน เนื่องจากมีประสบการณ์ในอารมณ์นั้น ๆ หรือได้สั่งสมอุปนิสัยในกิจการงานนั้น ๆ มาเป็นอย่างดี เช่น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลทั้งหลาย ด้วยอำนาจสัพพัญญุตญาณ โดยอาศัยความกรุณาที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นที่ตั้ง ในขณะที่ทรงวางเฉยต่อบุคคลที่ประพฤติไม่ดี เช่น ให้โอวาทแก่ภิกษุที่ประพฤติตนไม่ดีไม่งาม เพื่อทรงสอนให้มีจิตสำนึกที่ดีสมกับความเป็นสมณะศากยบุตรพุทธชิโนรสต่อไป เป็นต้น
มหากิริยาจิต ดวงที่ ๖
อุเปกขาสหคตัง ญาณสัมปยุตตัง สสังขาริกัง
จิตที่เกิดขึ้นโดยมีการชักชวน พร้อมด้วยความเฉย ๆ ประกอบด้วยปัญญา
มหากิริยาจิตดวงที่ ๖ นี้เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์รับรู้อารมณ์ ๖ ทางทวาร ๖ หรือกระทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ที่ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา เป็นจิตที่เกิดพร้อมด้วยความวางเฉย และต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์นั้น ๆ หรือในการทำกิจการงานนั้น ๆ อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง แต่เกิดขึ้นโดยต้องมีการกระตุ้นเตือนหรือชักชวน เนื่องจากขาดประสบการณ์ในอารมณ์นั้น ๆ หรือไม่ค่อยได้สั่งสมอุปนิสัยมาในกิจการงานนั้น ๆ เช่น พระอรหันต์บางท่านเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย มีพระมหากัสสปะ เป็นต้น ชอบปลีกวิเวก ถือธุดงค์ ท่านจึงไม่ค่อยเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานของหมู่คณะมากนัก แม้แต่ในเรื่องการแสดงธรรม หรือการบอกสอนธรรม จึงต้องมีการนิมนต์หรือเชื้อเชิญ หรือต้องเข้าไปสอบถามก่อนแล้ว ท่านจึงจะรับชี้แจงแสดงธรรม หรือบอกสอน แนะนำให้ และในขณะที่กระทำกิจนั้น ๆ อยู่ท่านก็มีอาการวางเฉยต่อบุคคลและกิจการงานนั้นโดยไม่ต้องการเอาตัวท่านไปผูกพันกับบุคคลหรือกิจการงานนั้น ๆ แต่อย่างใด เพียงแต่ทำการอนุเคราะห์ให้ตามสมควรแก่บุคคลและโอกาสเท่านั้น
มหากิริยาจิต ดวงที่ ๗
อุเปกขาสหคตัง ญาณวิปปยุตตัง อสังขาริกัง
จิตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการชักชวน พร้อมด้วยความเฉย ๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา
มหากิริยาจิตดวงที่ ๗ นี้เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์รับรู้อารมณ์ ๖ ทางทวาร ๖ หรือกระทำกิจการงาน อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นจิตที่เกิดพร้อมด้วยความวางเฉย และไม่ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์นั้น ๆ หรือกิจการงานนั้น ๆ เนื่องจากเป็นกิจที่ไม่ต้องใช้ปัญญา หรือบางท่านไม่มีประสบการณ์ด้านปริยัติในเรื่องนั้น ๆ ท่านจึงไม่สามารถพิจารณาทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามหลักที่เป็นจริงในเรื่องนั้นได้ แต่เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยปรารภขึ้นมาเอง ไม่ต้องมีการกระตุ้นเตือนหรือชักชวน เนื่องจากได้สั่งสมอุปนิสัยของผู้ขวนขวายในกิจการงานนั้น ๆ มาบ้าง เช่น พระอรหันต์บางรูป ที่เกิดอาพาธหนัก ร่างกายไม่พร้อมที่จะประกอบกิจการงาน แต่เนื่องจากท่านมีความขวนขวายในการทำกิจวัตรอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ท่านต้องฝืนสังขารร่างกาย และฝืนใจอุตสาหะทำกิจวัตรที่ทำอยู่เป็นประจำนั้นให้สำเร็จเรียบร้อยไป เป็นต้น
มหากิริยาจิต ดวงที่ ๘
อุเปกขาสหคตัง ญาณวิปปยุตตัง สสังขาริกัง
จิตที่เกิดขึ้นโดยมีการชักชวน พร้อมด้วยความเฉย ๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา
มหากิริยาจิตดวงที่ ๘ นี้เป็นจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่พระอรหันต์รับรู้อารมณ์ ๖ ทางทวาร ๖ หรือกระทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ เป็นจิตที่เกิดพร้อมด้วยความวางเฉย และไม่ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์นั้น ๆ หรือกิจการงานนั้น ๆ เนื่องจากเป็นกิจที่ไม่ต้องใช้ปัญญา หรือบางท่านที่ไม่มีประสบการณ์ด้านปริยัติในเรื่องนั้น ๆ มา ท่านจึงไม่สามารถพิจารณาทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามหลักที่เป็นจริงในเรื่องนั้นได้ และเกิดขึ้นโดยต้องมีการกระตุ้นเตือนหรือชักชวน เนื่องจากท่านไม่ได้สั่งสมอุปนิสัยของความเป็นผู้ขวนขวายในกิจการงานนั้น ๆ มา หรือมีอุปสรรคต่าง ๆ เข้ามาขัดขวาง เช่น พระอรหันต์บางรูป ซึ่งเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย แต่ถูกกระตุ้นเตือนหรือเชื้อเชิญให้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติ เพื่อจะได้รักษาสืบทอดแก่อนุชนคนหลังต่อไป ท่านจึงต้องฝืนใจในการขวนขวายศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรมนั้น ด้วยอาการที่วางเฉย และเนื่องจากท่านไม่ค่อยได้สั่งสมบุญบารมีมาในด้านปริยัติธรรม ท่านจึงไม่สามารถใช้ปัญญาในการพิจารณาให้รู้นัยต่าง ๆ แห่งข้ออรรถข้อธรรมนั้นโดยทั่วถึงได้ ดังนี้เป็นต้น