ไปยังหน้า : |
ในเบื้องต้น วิญญาณัญจายตนฌานลาภีบุคคล ต้องทำการฝึกฝนวิญญาณัญจายตนฌานที่ตนได้แล้วนั้นให้มีความชำนาญในวสีทั้ง ๕ เสียก่อน จากนั้น จึงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน เมื่อออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว ก็ทำการพิจารณาให้เห็นโทษของวิญญาณัญจายตนฌานนั้นว่า “วิญญาณัญจายตนฌานนี้ ยังใกล้ต่ออากาสานัญจายตนฌานที่เป็นปฏิปักษ์กันอยู่ เมื่อไม่หมั่นเข้าวิญญาณัญจายตนฌานสมาบัติอยู่เสมอ อาจเลือนหายไป ทำให้สมาธิลดกำลังลงจากอากาสานัญจายตนฌานนิมิตนั้น แล้วเลื่อนลงไปสู่กสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัตินิมิตเหมือนเดิมก็ได้ อนึ่ง สมาธิในวิญญาณัญจายตนฌานนี้ ก็ยังหยาบกว่าสมาธิที่ในอากิญจัญญายตนฌานอีกด้วย” เมื่อมนสิการดังนี้แล้ว ก็ใฝ่ใจถึงอากาสานัญจายตนนิมิตที่ดับไปแล้วนั้น โดยมนสิการว่า “แม้เพียงภังคักขณะของอากาสานัญจายตนนิมิตนั้นก็ไม่มีเหลืออยู่เลย” แล้วพยายามพรากใจออกจากอากาสานัญจายตนนิมิตนั้นเสีย หันมาใฝ่ใจนึกหน่วงเอานัตถิภาวบัญญัตินิมิต คือ สภาพที่ไม่มีอากาสานัญจายตนนิมิตเหลืออยู่เลยนั้นให้มาปรากฏแทนที่ โดยบริกรรมว่า “นัตถิ กิญจิ ๆ” แปลว่า นิดหนึ่งก็ไม่มี น้อยหนึ่งก็ไม่มี เช่นนี้เรื่อยไป จนจิตปราศจากนิกันติตัณหาในอากาสานัญจายตนนิมิตอันเป็นอารมณ์ของวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว จิตขึ้นสู่อุปจารสมาธิ ในไม่ช้าอากาสานัญจายตนฌานที่เป็นนิมิตติดใจอยู่นั้นก็จักหายไป แล้วนัตถิภาวบัญญัตินิมิตก็มาปรากฏแทนที่ เมื่อนั้น อากิญจัญญายตนฌานจิตก็จักปรากฏเกิดขึ้นพร้อมกับยึดหน่วงเอานัตถิภาวบัญญัตินิมิตนั้นมาเป็นอารมณ์อย่างแนบแน่น
อากิญจัญญายตนฌาน มีชื่อ ๓ อย่าง คือ
๑. ชื่อว่า อรูปฌาน เพราะฌานนี้ปราศจากอารมณ์ที่เป็นรูป กล่าวคือ มีสภาพที่ไม่ใช่รูปเป็นอารมณ์ ได้แก่ นัตถิภาวบัญญัตินิมิต
๒. ชื่อว่า อากิญจัญญายตนฌาน เพราะฌานนี้ มีความมั่นคงตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหว เกิดขึ้นโดยอาศัยการมนสิการถึงความไม่มีอากาสานัญจายตนนิมิตเหลืออยู่เลยเท่านั้นปรากฏเป็นอารมณ์
๓. ชื่อว่า ตติยารุปปฌาน เพราะอากิญจัญญายตนฌานนี้ เกิดขึ้นเป็นลำดับที่ ๓ ในบรรดาอรูปฌานทั้ง ๔