ไปยังหน้า : |
ชิวหาวิญญาณจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยความเป็นผลของกุศลและอกุศล เพื่อรับรู้รสารมณ์ หมายความว่า ถ้ารสารมณ์คือรสนั้น เป็นอิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่น่าปรารถนาปรากฏขึ้น ชิวหาวิญญาณจิตที่เกิดขึ้นรับรู้ ก็เป็นกุศลวิบาก ถ้ารสารมณ์ คือรสนั้น เป็นอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาปรากฏขึ้น ชิวหาวิญญาณจิตที่เกิดขึ้นรับรู้ ก็เป็นอกุศลวิบาก ชิวหาวิญญาณจิตนี้ มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตน ๔ ประการ ที่เรียกว่า วิเสสลักษณะ หรือ ลักขณาทิจตุกกะ คือ
๑. ชิวหานิสสิตะระสะวิชานะนะลักขะณัง มีการรู้รสโดยอาศัยชิวหาวัตถุ เป็นลักษณะ หมายความว่า ชิวหาวิญญาณจิตทั้ง ๒ ดวงนี้ ไม่สามารถอาศัยวัตถุรูปอย่างอื่นเกิดได้เลย คือ จะอาศัยจักขุวัตถุ โสตวัตถุ ฆานวัตถุ กายวัตถุ หรือหทยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดไม่ได้เลย ย่อมอาศัยเกิดได้เฉพาะชิวหาวัตถุ คือ ชิวหาปสาทรูปอย่างเดียวเท่านั้น
๒. ระสะมัตตารัมมะณะระสัง มีอารมณ์เฉพาะรสารมณ์เท่านั้น เป็นกิจ หมายความว่า ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวงนี้ ไม่สามารถรับรู้อารมณ์อย่างอื่นได้ คือ จะไปรับรู้รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ หรือธัมมารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งนั้นไม่ได้ ย่อมรับได้เฉพาะรสารมณ์คือรสต่าง ๆ เท่านั้น
๓. รสาภิมุขะภาวะปัจจุปปัฏฐานัง มีการมุ่งตรงเฉพาะต่อรสเท่านั้น เป็นอาการปรากฏ หมายความว่า ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวงนี้ ดวงใดดวงหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมมุ่งหน้าในการรับรสารมณ์เท่านั้น จะไม่มุ่งหน้าไปหารับอารมณ์อื่นที่นอกจากรสารมณ์นี้เลย คือ เมื่อรสารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์อันเป็นผลของอกุศลกรรมปรากฏเกิดขึ้นทางชิวหาทวารแล้ว ชิวหาวิญญาณจิตที่เป็นอกุศลวิบากย่อมเกิดขึ้นและมุ่งหน้าต่อรสารมณ์อันไม่น่าปรารถนานั้น และเมื่อรสารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์ [ทั้งที่เป็นอติอิฏฐารมณ์ คือ รสอันน่าปรารถนาอย่างยิ่งก็ดี หรืออิฏฐมัชฌัตตารมณ์ คือ รสอันน่าปรารถนาระดับปานกลางก็ดี] อันเป็นผลของกุศลกรรมปรากฏเกิดขึ้นทางชิวหาทวารแล้ว ชิวหาวิญญาณจิตที่เป็นกุศลวิบากก็จะเกิดขึ้นมุ่งหน้าต่อรสารมณ์อันน่าปรารถนานั้นซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของวิปากจิตนั้น
๔. ระสารัมมะณายะ ก๎ริยามะโนธาตุยา อะปะคะมะปะทัฏฐานัง มีการแผ่ออกไปแห่งกิริยามโนธาตุซึ่งมีรสเป็นอารมณ์ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายความว่า เมื่อรสารมณ์ปรากฏขึ้นทางชิวหาทวารแล้ว ภวังคจิตหวั่นไหวตอบสนองต่อรสารมณ์นั้นและตัดกระแสภวังค์ขาดแล้ว ปัญจทวาราวัชชนจิต อันได้ชื่อว่า กิริยามโนธาตุ ย่อมเกิดขึ้นเป็นจิตดวงแรกในชิวหาทวารวิถีนั้น ทำการหน่วงเหนี่ยว รสารมณ์นั้นมาสู่ชิวหาทวารวิถี โดยทำการพิจารณาว่าเป็นรสารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว ก็จะส่งให้ชิวหาวิญญาณจิตรับรู้ต่อไป คือ ถ้าเป็น รสารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์ ก็ส่งให้ชิวหาวิญญาณจิตที่เป็นกุศลวิบากรับไป ถ้าเป็น รสารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ก็ส่งให้ชิวหาวิญญาณจิตที่เป็นอกุศลวิบากรับไป ฉะนั้น ชิวหาวิญญาณจิตทั้ง ๒ ดวงนี้ จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องมีปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นแผ่ออกรับรสารมณ์นั้นมาพิจารณาก่อน ชิวหาวิญญาณจิตนี้ จึงจะเกิดขึ้นรับรู้ รสารมณ์นั้นต่อไปได้
อนึ่ง ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวงนี้ เป็นอเหตุกจิต เนื่องจากเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ ๖ อย่างใดอย่างหนึ่งมีโลภเหตุเป็นต้นเกิดร่วมด้วยเลย แต่เกิดขึ้นด้วยอำนาจการประชุมพร้อมกันแห่งปัจจัย ๔ ประการ เรียกว่า อุปัตติเหตุ ได้แก่
๑. ชิวหาปะสาโท มีประสาทลิ้นดี
๒. ระสารัมมะณัง มีรสารมณ์ คือรสต่าง ๆ มาปรากฏเฉพาะหน้า
๓. อาโปธาตุ มีอาโปธาตุ [ธาตุน้ำ] ช่วยนำมา
๔. มะนะสิกาโร มีความสนใจในการลิ้มรส [ปัญจทวาราวัชชนจิตหน่วงเหนี่ยวอารมณ์คือชักดึงรสารมณ์มาสู่ชิวหาทวาร]
เมื่อสมบูรณ์พร้อมด้วยปัจจัย ๔ ประการนี้แล้ว การรู้รสก็เกิดขึ้นได้อย่างบริบูรณ์ ถ้าบกพร่องไปด้วยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ประสาทลิ้นไม่ค่อยดี รสารมณ์นั้นมีน้อยเกินไป น้ำลายที่ทำการย่อยสลายมีน้อย หรือไม่ค่อยใส่ใจต่อรสารมณ์นั้น ดังนี้เป็นต้นแล้ว ประสิทธิภาพของการรู้รสก็ลดน้อยลงไป ถ้าขาดปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งไป เช่น ประสาทลิ้นเสีย ไม่มีรสารมณ์ปรากฏ ไม่มีน้ำลายช่วยย่อยสลายและซึมซาบให้ไปสู่ประสาทลิ้น หรือไม่ได้ใส่ใจต่อรสารมณ์นั้นเลยหรือนอนหลับสนิท ดังนี้เป็นต้นแล้ว การรู้รสก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย นี้เรียกว่า อุปัตติเหตุทางชิวหาทวาร ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสอนให้กำหนดว่า รู้รสก็สักแต่ว่ารู้รส เพราะขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจบังคับบัญชา หรือคำบงการของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครบังคับบัญชาให้รู้รสหรือไม่ให้รู้รสได้ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เราได้รู้รสหรือใครได้รู้รส เพียงแต่เป็นสภาพของนามธรรมที่ได้เหตุปัจจัยครบแล้วเกิดการรู้รสเท่านั้น